หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency) อาจเคยเห็นการนำ Cryptocurrency มาเปรียบเทียบกับ Fiat Currency กันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง Fiat Currency และ Cryptocurrency มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งด้านความสะดวกสบายและการใช้งาน ซึ่งในวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างของ Fiat Currency และ Cryptocurrency ให้คุณได้เข้าใจแบบง่ายๆ แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสกุลเงินทั้ง 2 รูปแบบกันก่อน
สารบัญ
Fiat Currency คืออะไร?
Fiat Currency หรือสกุลเงินเฟียต หมายถึงเงินที่ออกโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซึ่งอยู่ในรูปแบบของสกุลเงินที่สามารถจับต้องได้ เช่น เงินกระดาษ เหรียญ ตั๋วเงิน โดยมูลค่าของสกุลเงินเฟียตจะมาจากความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
Cryptocurrency คืออะไร?
Cryptocurrency (คริปโตเคอร์เรนซี) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า คริปโต เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการเข้ารหัสและถือเป็นสกุลเงินในอนาคตที่มีราคาในการซื้อ-ขายแปรผันไปตามกลไกตลาด โดยจะเข้ามามีบทบาทในการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกัน แต่ในปัจจุบัน Cryptocurrency ยังไม่ถูกนับว่าเป็นเงินตราตามกฎหมาย และถูกเรียกว่าเป็น “สกุลเงินเหมือน” เนื่องจากยังไม่มีธนาคารกลางใดในโลกรับรองให้เป็นเงินตราตามกฎหมาย
ความแตกต่างของ Fiat Currency vs Cryptocurrency
1.ความสะดวกสบาย
หากคุณต้องการทำธุรกรรมไปยังต่างประเทศ การใช้ Cryptocurrency ถือว่ามีความสะดวกสบายมากกว่า Fiat Currency เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมราคาแพงในการโอนเงิน ในขณะที่ Fiat Currency จะต้องมีการนำเงินไปแลกเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ก่อน จากนั้นจึงทำการโอนเงินไปต่างประเทศ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมที่แพงกว่า Cryptocurrency
2.การใช้งาน
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีหลากหลายธุรกิจที่อนุมัติให้มีการใช้ Cryptocurrency ในการชำระค่าสินค้าหรือบริการแต่ก็ถือว่ายังไม่ทั่วถึงมากเท่าที่ควร ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการใช้ Fiat Currency ยังมีความหลากหลายและมีสภาพคล่องสูงกว่า รวมถึงสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายกว่า Cryptocurrency ด้วยเช่นกัน
3.ความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์
แน่นอนว่า Cryptocurrency ที่มีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการเก็บข้อมูล มีความปลอดภัยสูงกว่า Fiat Currency เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลที่มีการเชื่อมต่อกันเป็นสายๆ ทำให้สามารถตรวจสอบได้และไม่สามารถแก้ไข้ข้อมูลได้ หากต้องการแฮคก็จะต้องแฮดทั้งระบบ ซึ่งสามารถทำได้ยากมาก ในขณะที่ Fiat Currency ที่ถูกเก็บไว้ในธนาคาร จะมีระบบ Database ไว้เก็บข้อมูลสำหรับการทำธุรกรรม ซึ่งสามารถแฮคและแทรกแซงได้ง่าย
แต่ทั้งนี้ อาจจะมีหลายคนที่เคยอ่านข่าวเกี่ยวกับการโจรกรรมบิตคอยน์ ซึ่งกรณีนี้เกิดจากการแฮคเข้าไปใน Exchange หรือขโมย Key Wallet ของผู้ใช้งาน ไม่ได้เกิดจากการแฮคเข้าไปในระบบของบิตคอยน์แต่อย่างใด
4.ความเป็น Centralized/Decentralized
Fiat Currency ใช้ระบบ Centralized ที่หมายถึงการรวมอำนาจและถูกควบคุม โดยมีรัฐบาลหรือธนาคารกลางเป็นผู้เข้ามาควบคุมและดูแล ทำให้ Fiat Currency มีความเสถียรเนื่องจากถูกควบคุมโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ในขณะที่ Cryptocurrency จะใช้ระบบ Decentralized ที่หมายถึงการกระจายอำนาจ ซึ่งมีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงไม่มีตัวกลางในการควบคุมหรือทำธุรกรรม แต่จะมีการนำระบบ Smart Contract เข้ามาช่วยในการทำธุรกรรมแทนการใช้ตัวกลาง (ธนาคาร)
5.การตรวจสอบย้อนหลัง
เนื่องจากผู้ที่ถือ Cryptocurrency จะเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลของตนเอง ซึ่งจะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินที่เก็บไว้ รวมถึงตำแหน่งของกระเป๋าเงินทำให้ไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ในขณะที่ Fiat Currency จะถูกเก็บไว้ในบัญชีธนาคาร ทำให้เมื่อมีการทำธุรกรรมใดๆ ธนาคารหรือหน่วยงานของรัฐ จะสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
แม้ว่า Cryptocurrency จะเป็นสกุลเงินในอนาคตที่มีแนวโน้มในการนำมาใช้งานจริงที่น่าสนใจมากเพียงใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบัน Fiat Currency ยังมีความทั่วถึงและสามารถใช้งานได้หลากหลายและสะดวกสบายมากกว่า แต่ทั้งนี้ Cryptocurrency ก็มีการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเริ่มเข้ามามีบทบาทในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการมากขึ้น ทำให้การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีความจำเป็น เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน และหากใครสนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวโลกของคริปโตฯ สามารถติดตามต่อได้ที่ CryptoMotion เพราะเราจะอัปเดตข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณในโลกของคริปโตฯ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจโลกของคริปโตฯได้มากที่สุด